‘สับปะรด’ กับ 10 ประโยชน์ที่เราอาจไม่เคยรู้ !

'สับปะรด' กับ 10 ประโยชน์ที่เราอาจไม่เคยรู้ !

สับปะรด จัดว่าเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานซ่อนเปรี้ยว ติดอยู่ลิสต์ผลไม้สุดโปรดของใครหลายๆ คน นอกจาเรื่องของรสชาติ เมื่อกินจะรู้สึกสดชื่น ราคาสบายกระเป๋าแล้ว สับปะรดยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและประโยชน์อีกมากมาย วันนี้ เราจะพาไปดูซิว่า ยังมีประโยชน์เรื่องที่ไหนของสับปะรดที่พวกเรายังไม่เคยรู้มาก่อนกันบ้าง อย่าอ่านข้ามนะ !

10 ประโยชน์ของ ‘สับปะรด’ ที่เราอาจยังไม่เคยรู้

  1. สับปะรด นั้นเป็นผลไม้ที่ประโยชน์แทบทุกส่วน ตั้งแต่ใบที่สามารถนำมาทำเป็นผ้าใยสับปะรด , กระดาษ และเชือกได้ ส่วนเปลือกของมันก็เอาไปทำเป็นอาหารของวัวและใช้หมักเป็นปุ๋ยได้ ส่วนแกนของสับปะรดยังช่วยขับปัสสาวะและแก้นิ่วได้อีกด้วย ครบเครื่องจริงๆ
  2. สับปะรด ช่วยย่อยอาหารได้ โดยเฉพาะอาหารจำพวกที่เป็นโปรตีน ใครที่เป็นสาวกชาบู บุฟเฟ่ต์ละก็ เวลาแน่นๆ ท้องก็ให้กินสับปะรดเข้าไปตาม จะทำให้ช่วยย่อยได้นะ
  3. ใครที่เป็นพ่อบ้าน แม่บ้าน ชอบปรุงอาหารอยู่เป็นประจำ อยากจะทำเมนูประเภทสเต็กหมู สเต็กไก่ หากอยากจะได้เนื้อนุ่มๆ แล้วล่ะก็ ลองเอาเนื้อพวกนั้นไปหมักกับสับปะรดดูสิ รับรองว่าเนื้อจะนุ่มโดยไม่ต้องทุบให้เปลืองแรงเลยล่ะ
  4. สับปะรด ช่วยบำรุงผิวพรรณของเราให้ดูเปล่งปลั่ง สดใส มีออร่าขึ้นได้
  5. สับปปะรด เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยในการต่อต้านหวัด และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
  6. สับปะรด มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิด ‘โรคมะเร็ง‘ ได้
  7. กินสับปะรดช่วยลดอาการท้องผูก
  8. สับปะรด ช่วยลดเสมหะที่อยู่ในลำคอ
  9. สับปะรด ช่วยทำให้สุขภาพช่องปาก ฟัน และเหงือกแข็งแรง
  10. สับปะรด ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยว่า ถึงแม้ สับปะรด จะเป็นตัวเลือกในการกินที่ดีสำหรับใครหลายคนที่อยู่ในช่วงของการลดน้ำหนัก หรือหันมาดูแลสุขภาพ แต่หากเรากินเข้าไปมากๆ อาจทำให้เกิดอาการคันลิ้น หรือแสบลิ้นได้ แนะนำว่าให้กินแต่พอดี โดยปริมาณที่เหมาะ คือ 2 – 3 ชิ้นใหญ่หลังมื้ออาหารหลัก หรือไม่เกิน 1 ลูกต่อวัน ก็น่าจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้วล่ะ

เมื่อเป็น ‘นักวิ่ง’ ก็ย่อมต้องเจอกับอาการบาดเจ็บ

เมื่อเป็น 'นักวิ่ง' ก็ย่อมต้องเจอกับอาการบาดเจ็บ

เดี๋ยวนี้เทรนด์ออกกำลังกายด้วยการวิ่งกำลังมาแรง เพราะแทบไม่ต้องมีอุปกรณ์ หรือตัวช่วยใดๆ เพียงแค่มีเวลากับสถานที่สำหรับวิ่งเท่านั้นก็เพียงพอ นับว่าเป็นการดูแลสุขภาพที่ทำได้ง่ายๆ ใช้เวลาแค่ 30 นาที ถึงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายด้วยรูปแบบใดก็ย่อมมีอาการบาดเจ็บเกิดขึ้นได้ ถึงแม้จะเป็นนักวิ่งมืออาชีพแล้ว ยิ่งมือสมัครเล่นก็ต้องยิ่งระวัง ควรเริ่มจากทีละน้อย ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นจึงจะดี วันนี้เราก็มีข้อมูลมากฝากกันว่าการจะออกวิ่งแต่ละที ทำให้เราเกิดการบาดเจ็บในส่วนใดได้บ้าง

อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นเมื่อออกวิ่ง

1. กระดูกล้า กระดูกหัก (Stress Fracture)

อาการเช่นนี้เป็นอาการที่พบได้บ่อยในนักวิ่งมาราธอนจากสาเหตุที่ต้องฝึกซ้อมเป็นอย่างหนักและเป็นเวลายาวนาน ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนล้า ทำให้กระดูกไม่สามารถรับน้ำหนัก หรือแรงกระแทกได้มากอย่างที่เคยเป็น จนเกิดการแตกหักเล็กๆ อยู่ภายในโครงสร้างกระดูก บริเวณที่สามารถพบอาการเหล่านี้ได้บ่อย คือ บริเวณกระดูกเหนือข้อเท้า เป็นๆ หายๆ เมื่อหยุดวิ่งก็จะไม่มีอาการ แต่เมื่อกลับมาออกวิ่งอีกครั้งอาการปวดก็จะกลับมา ซึ่งเมื่อเราไปพบแพทย์และเอกซเรย์กระดูกดูจะไม่เห็นรอยแตก เนื่องจากมีขนาดที่เล็กมาก ฉะนั้นต้องระวัดระวังในการวิ่ง

2. อาการบาดเจ็บที่บริเวณหัวเข่าด้านนอก (Iliotibial Band Friction Syndrome)

อาการนี้ รศ.นพ.พงศ์ศักดิ์ ยุกตะนันทน์แพทย์ออร์โธปิดิกส์ และประธานหลักสูตรวิทยาศาสตร์ มหาบัณฑิต สาขาวิชาเวชศาสตร์การกีฬา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อมูลเอาไว้ในคอลัมภ์ บอกเล่าก้าวทันหมอ ของนิตยสาร ฬ.จุฬา ว่า อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับหัวเข่าด้านนอกเกิดจากการเสียดสีกันของแถบเอ็นกล้ามเนื้อต้นขาด้านข้างกับปุ่มประดูก ซึ่งอาการนี้มักเกิดขึ้นในนักวิ่งที่ยืดกล้ามเนื้อก่อนวิ่งไม่เพียงพอ อาการจะเกิดขึ้นเมื่อพยายามเร่งความเร็วในการวิ่งช่วงสั้นๆ หรือข้ามระยะวิ่งจาก 5 กิโลเมตร เป็น 20 กิโลเมตร ทั้งที่ยังฝึกซ้อมได้ไม่มากพอก็อาจมีการนี้

3. กล้ามเนื้อสลาย

สำหรับนักวิ่ง หรือใครที่ออกวิ่งอยู่เป็นประจำก็อาจเกิดอาการกล้ามเนื้อสลายได้ โดยเกิดขึ้นเมื่อต้องวิ่งในระยะทางไกลนานๆ เมื่อเดินทางไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา ก็จะพบค่าเอนไซม์กล้ามเนื้อขึ้นสูงเกินกว่าปกติ มีความเสี่ยงที่กล้ามเนื้อจะสลายตัวปนเข้าไปในเลือดได้ หากนักวิ่งตกอยู่ในภาวะเสี่ยงกล้ามเนื้อสลายและเข้ารับการรักษาไม่ทัน ก็อาจเสี่ยงมีภาวะไตวาย ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้

สังเกตอย่างไรว่าตกอยู่ในภาวะกล้ามเนื้อสลาย เมื่อเข้าห้องน้ำปัสสาวะ ให้ลองสังเกตว่าสีของปัสสาวะมีสีเข้มรึเปล่า หากมีสีเข้มก็ให้ดื่มน้ำเปล่ามากขึ้น

3. อาการบาดเจ็บที่เกิดจากความต่างกันของอุ้งเท้า

คนเราเกิดมาก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันแค่รูปร่าง หน้าตา หรือส่วนสูง แต่จุดเล็กอย่างอุ้งเท้าก็ไม่ได้เหมือนกันไปซะทีเดียว อย่างในนักวิ่ง ความแตกต่างกันของลักษณะอุ้งเท้านี้ก็ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บรูปแบบต่างๆ ได้ เช่น นักวิ่งที่มีอุ้งเท้าสูง มักพบว่ามีอาการเอ็นร้อยหวายตึงมากกว่าปกติ ส่วนนักวิ่งที่มีอุ้งเท้าแบน ก็อาจเกิดอาการปวดที่บริเวณอุ้งเท้า สาเหตุก็มาจากการลงน้ำหนักที่ฝ่าเท้าด้านในมากกว่าปกติ ฉะนั้น ใครตัดสินใจออกกำลังกายด้วยการวิ่ง หรือเข้าสู่การเป็นนักวิ่ง รองเท้าก็มีส่วนช่วยลดการเกิดอาการบาดเจ็บได้เป็นอย่างดี ควรเลือกให้เหมาะกับเท้าของตนเอง จะได้วิ่งได้นานและต่อเนื่องมากขึ้น